27 กุมภาพันธ์ 2556

ก้าวที่ 1 : First Step Up to Korea

ปี 2006 ปีที่วัฒนธรรมเกาหลีเริ่มเข้ามาในเมืองไทยแล้ว

ดงบังชินกิดังแล้วล่ะ

ที่แน่ๆ Autumn in My Heart ดังมากแน่นอน

แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ยังคงสนุกสนานกับการทำงาน

แค่วันหนึ่ง.....พี่สาวมาชวนว่าไปเที่ยวเกาหลีใต้กันไหม ในใจลึกๆ ไม่สนใจเลยล่ะ

เพราะรู้สึกว่าแอนตี้อยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะนักร้องที่ขยันมาโด่งดังในบ้านเรา

หรืออาหารรสชาติพิลึกๆ

แต่ด้วยความชอบออกนอกประเทศ ก็พยักหน้ากับพี่ว่า “ไปซิ”

สามสาวพี่น้องจึงตกลงใจหาทัวร์ไปเกาหลีกัน โดยชักชวน “จันทนา” เพื่อนเลิฟสุดขั้วมาด้วย

เนื่องจากนางอินซีรี่ส์เกาหลีทุกเรื่อง นางคงให้ข้อมูลวัฒนธรรมเราได้บ้าง

นางตกปากรับคำไปด้วยอย่างไม่ลังเลสมกับที่คิดไว้

เราเป็นคนติดต่อหาทัวร์ เลือกกับพี่ แล้วดำเนินเรื่องทุกอย่างเองหมด

ถึงเวลา เราก็พาตัวเองไปสนามบิน เจอผู้ร่วมเดินทางด้วย แต่หาสนใจใครไม่

4 สาวเอกเทศตลอดทริป

การไปเกาหลีครั้งแรกในชีวิต เริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาคมปี 2006

ช่วงเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนสี สวยไปทั้งกรุงโซล

เราเตรียมไปเยอะ เพราะเคยอ่านว่า ตม. ที่นี่ตรวจเยอะ นามบัตร เอกสาร จึงพร้อมพรั่ง

แต่สุดท้ายก็โดนแค่ “เป็นพี่น้องกับสองคนที่ผ่านไปใช่ไหม” “ใช่ค่ะ” ประทับตรา ตึง!

เราได้เข้าเกาหลีใต้แล้ว ใจชะเง้อกลับไป ตรวจหน่อย ตรวจเอกสารฉันหน่อย เตรียมมาเยอะ อยากใช้ๆ..... 555

วันที่เดินทางไปถึง อากาศเย็นนิดหน่อยเพราะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เรามุ่งหน้าไปเกาะนามิทันที เกาะที่ถ่ายละครเรื่องดังของเกาหลีที่เราไม่คิดจะดู 555





ไปถึง มันสวยจริงๆ ต้นเมเปิ้ลเป็นสีแดงเหลือทั้งเกาะ สวยมากๆ ถ่ายรูปกันยกใหญ่

ยิ่งเดินเข้าไปเจอต้นแปะก๊วยที่กลายเป็นสีเหลืองทองอร่ามยิ่งวี้ดวิ้วกันหนักเข้าไปอีก   
    
เป็นการมาเกาหลีใต้ เมืองหนาวที่เรารู้สึกว่า เออ มันดี เราชอบแบบนี้แหละ


..... อีกวันเราไปบ้าน Full House กัน สาเหตุที่มากับทัวร์นี้เพราะพี่สาวชอบพี่เรน

เลยอยากมาดูบ้านที่นี่

เรานั่งเรือข้ามไป อากาศเย็นมาก แต่จะกลัวแล้วไปนั่งหลบในท้องเรือก็ใช่ที่

เราไม่เคยเจอความหนาวแบบนี้กัน

จึงไปยืนให้อาหารนกนางนวลที่บินไปบินมาตรงดาดฟ้าเรือ สนุกดี
 
ลงเรือมาได้ เข้าไปที่บ้าน ว้าววววว บ้านของฮันจีอึน เหมือนในละครเลย มันน่ารัก น่าอยู่มากๆ

แต่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและการใช้งานเป็นสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว

(ซึ่งถือว่าได้ผลมากๆ คนหันมาเที่ยวเกาหลี เพราะตามรอยซีรี่ส์กันเพียบ)

อยู่ที่นี่ได้พักใหญ่ เราก็ไปที่อื่นกันต่อ


ไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมบนเขาสูงๆติดทะเลที่ไกด์บอกว่าถ้าข้ามไปก็ถึงเกาหลีเหนือ

บ๊ะ น่าลอง เหอเหอ ....


ไปล่องเรือในทะเลสาบอะไรไม่รู้ หนาวมาก สวยยยยย สั่น สวยจนสั่น มันหนาวไปไหนวะเนี่ย

ขึ้นจากเรือมาได้ สองเพื่อนซี้หัวหูยุ่งกระจุย แต่หัวเราะลั่นๆ พึงใจ


- - อีกวันก็ไปเอเวอร์แลนด์ ที่ได้แค่เดินดูเพราะคนเยอะสุดๆ

เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม ไม่สามารถต่อคิวเล่นอะไรได้สักอย่าง เพราะคนมหาศาล

ได้แต่ถ่ายรูปมาดูขำๆว่าเคยมาแล้วจ้า






…. มีอยู่คืนหนึ่ง เราได้ไปนอนที่โรงแรมใกล้ๆโซรักซาน เป็นที่นอน “อน-ดน”

หรือเอาง่ายๆปูเสื่อนอน

เพียงแต่เสื่อเกาหลีเค้ามีเรื่องทำความร้อนซุกอยู่ เลยอุ่นสบายน่าดู

ข้างล่างโรงแรมเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่เอาไว้รองรับทัวร์

ก็ชวนอีก 3 คนไปเดินหาซื้อของฝาก

เลยทำให้รู้ว่าที่เกาหลีนี่ ถ้าคุณต้องการถุงใส่ของ (สีดำ อย่างกะถุงขยะ)

คุณต้องจ่ายเงินด้วยนะ แบบว่าลดโลกร้อนไง แต่ แหม....เราซื้อกันเยอะแยะ ไม่ให้ถุงก็ขนไม่ได้

เลยต้องยอมจ่ายค่าถุงไปซะ เพื่อนจันหอบมาม่าหนึ่งถ้วยยักษ์มาด้วย

กดน้ำร้อนใส่ แล้วตั้งไว้กลางห้อง

อิ่มเอมก็ไปเยี่ยมๆมองๆดู แล้วถามว่า “สิ่งนี้คืออะไร” หอมๆ อยากกินเลยเนียนถาม 555

เพื่อนจันผู้ซึ่งเชี่ยวชาญจึงเดินไปเหยียบตะเกียบมา 2 คู่ ยื่นให้เราหนึ่ง อีกหนึ่ง

นางเคาะลงบนฝาแล้วเริ่มร่ายวิชา

“แกรู้ไหม เวลาดูหนังเกาหลีนะเว้ย ทุกเรื่องมันต้องกินอันนี้กัน เราเรียกว่านงชิม

เป็นมาม่าเกาหลีรสเผ็ด มันอร่อยมาก ฉันเคยซื้อกินมาแล้วที่ไทย ไม่เชื่อ แกชิม”

แล้วมันก็เปิดฝา

โอ้ววววว อากาศหนาวๆ มาม่าร้อนๆเผ็ดๆ อุ่นวาบในท้อง ถ้วยเดียวแบ่งกันกิน

อร่อยจนต้องไปเคาะประตูห้องพี่

มาๆกินกัน พี่เห็นว่าน่าสนใจ จึงวิ่งไปซื้อมาอีก 2 กลายเป็นสามถ้วย กินกันนัว 4 สาว พุงกาง

(แม้ว่านั่นจะเป็นหลังจากเราเพิ่งอิ่มมื้อเย็นที่ร้านอาหารมาหมาดๆก็เหอะ ยังจะกินเข้าไปอีก)

หลังอิ่มแล้วเราก็นั่งผึ่งพุง รอย่อย ลองเอาฟูกมากาง บริหารร่างกาย สนุกมากๆ เพลินดี

เพื่อนจันเปิดประตูกระจกด้านหลังห้องออกไปชมวิว ลมหนาวพัดเข้ามา

อู๊ยยยยย อากาศยามค่ำบนเทือกเขาโซรักช่างเย็นยะเยือกจริงๆ

นางนั่งได้จนปากซีดสมใจก็หวนคืนกลับเข้ามา

 และถึงเวลานอน เราก็ซุกตัวนอนในที่นอน “อน-ดน” ของเรา อุ่นและสบายมากๆ

- - แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ หรือฮีทเตอร์จะไม่ทำงาน หรือ “อน-ดน” จะเสีย

เรารู้สึกว่ามันหนาวหน่อยๆตลอดเวลา แต่ด้วยความง่วงและเพลีย เราก็หลับไปในที่สุด

 เช้าวันใหม่มาถึง อิ่มเอมตื่นนอนด้วยความสดชื่น อากาศดีมากๆ
หันไปมอง เพื่อนจันขดตัวซุกผ้าห่ม มันคงหนาวเหมือนเราหนาว ว่าแต่...อากาศข้างนอกเท่าไรน๊า
เดินไปชมอากาศยามเช้าหน่อย แหวกม่านออกดู มือชะงัก ตาค้าง
แล้วหันกลับไปกระโดดทับลงที่นอนเพื่อนทันที
“ไอ้จัน ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!!
เพื่อนเราขยับตัวหนี ด่าแบบงัวเงียกลับมา
“อะไร จะนอน หนาวจะตาย ไหนแกว่าวันนี้จะตื่นก่อนก็ไปอาบน้ำดิ อย่ามายุ่ง”
หนอยยยย “หนาวจะตายเรอะ แกทำอะไรลงไป เมื่อคืนทำไมแกไม่ปิดหน้าต่าง ห่ะ!
จบประโยค เพื่อนหรี่ตามอง แล้วค่อยๆลุกนั่ง มันยังม้วนตัวในผ้าห่ม “จริงเหรอ” ยังมาถาม
เดินดุ่มๆไปแหวกม่านออก เผยให้เห็นประตูกระจากบานใหญ่ ที่เปิดไว้ราว 10 เซนติเมตร
ไอเย็นล่องลอยเข้ามาในห้อง
“ดูซะ เมื่อกี้ฉันจะมาเปิดออกข้างนอก ถึงได้รู้ว่าแกไม่ได้ปิด
มิน่าเมื่อคืนฉันนอนหนาวทั้งคืน นึกว่าฮีทเตอร์เสีย ไอ้บ้าเอ๊ยยย”
..... เพื่อนจันมองหน้าแล้วยิ้มตาหยีให้ “เออ โทษ” .... ดูมัน ดีนะไม่หนาวตายทั้งคู่


อาบน้ำเสร็จอิ่มเอมก็มาเดินเล่นหน้าโรงแรมซึ่งเป็นสวนสวยมีใบเมเปิ้ลแดงๆเหลืองๆ
อากาศดีมาก หายใจเข้าไปที เหมือนในอกจะปลอดโปร่ง ชื่นใจเหลือเกิน
วันนี้เราใส่เสื้อยืดสีเขียว ดูเข้ากันดีกับใบไม้แดงเหลือง 555
เดินชมนกชมไม้ได้พักใหญ่ พี่สาวก็เดินมาตาม เอาเสื้อคลุมมายื่นให้แล้วพูดว่า
“อากาศ 5 องศา แกใส่เสื้อยืดตัวเดียวเดิน ประสาทยังดีอยู่ใช่ไหม เอ้า คลุมซะ”
เอ๊ะ!?!?!!?!! หนาวขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ทำไมเรายังเดินได้ล่ะ
หรือเป็นเพราะเมื่อคืนเปิดหน้าต่างค้างไว้ ภูมิต้านทานความหนาวเลยเพิ่มขึ้น ก๊ากกกกก
 
วันนี้เราไปเที่ยวภูเขาโซรักซานกัน ไปถึงเจอรูปปั้นหมีเด่นเป็นสง่าที่สุด
ไกด์บอกว่าใครลูบก้นหมี จะได้กลับมาเกาหลีอีก
(ไม่คิดจะกลับ แต่ก็กระเสือกกระสนไปลูบบ้าง ..... อนาคตจะได้กลับมาอีกไหม ใครจะไปรู้)
แล้วก็เดินเป็นขบวนเป็ดน้อยเข้าไปด้านใน ภูเขาชันหน่อยๆกับอากาศเย็นๆ
แม้จะเหนื่อยแต่ไม่มีเหงื่อโดยสิ้นเชิง น้ำตามลำธารจับตัวแข็ง บางพื้นที่ยังมีร่องรอยแม่คะนิ้ง อิอิ
ได้เห็นบ้านฮันอกแบบโบราณของเกาหลี ได้ไหว้พระใหญ่เบ้อเริ่มด้วย
ไกด์บอกมาอีกว่าหันหน้าไปอีกทิศ มุมนี้ พระใหญ่ไดบุตสึของญี่ปุ่นที่คามาคุระจะตั้งอยู่
เกาหลีเลยเอาพระใหญ่มาตั้งให้เผชิญหน้ากัน (ห่างกันกี่กิโลเมตรวะ และทำเพื่ออะไร??)
ไหว้พระแล้วทุกคนก็เดินต่อไป
แต่เรากับจันทนาออกนอกกรอบตลอดเวลาเลยไปชะอ้อนถามไกด์ว่า
หนูขอไปขึ้นกระเช้าแทนได้ไหมคะ หนูชอบสูงๆ
ไกด์พยักหน้ารับ สองคนจึงแตกแถวชวนกันไปต่อคิวขึ้นกระเช้า
- - ขึ้นไปถึงด้านบนคนเยอะแยะ และเต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลเหลืองแดงร่วงหล่น
เดินไปเหยียบไป เสี่ยงกับการตกเขาตายมากๆ สวยอ่ะใช่ แต่กลัวตายพิลึก
ชื่นชมความงามของธรรมชาติได้ไม่นานสองเพื่อนซี้ก็ชวนกันลง ก่อนใครสักคนจะลื่นตกเขา
.... มาถึงรถบัส ไกด์ด่า 5555 หายไปนานจนเขาเป็นห่วง แหม คิวมันยาว หนูขอโทษค่ะ
เรื่องมันหลายปี จนแทบจำไม่ได้ล่ะ จำได้แต่ว่า เป็นการไปที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไร
แถมเป็นร้อนในในปากตลอดทริป กินอะไรไม่อร่อย และไม่ชอบอาหารเกาหลีเลย
ทำตัวมีปัญหาให้พี่อยากด่าตลอดเวลา 555
จำได้อีกว่าซื้อของฝากหมดไปเป็นแสน!!! (วอน) ดูร่ำรวยอู้ฟู้ มีเงินสุดๆ เศรษฐีชัดๆ
เป็นการออกนอกประเทศแบบแค่สามพี่น้องครั้งแรก
ปกติมีแม่ไปด้วย ครั้งนี้ไปกันเอง ถือว่าชนะเลิศแหละ
 
ปล. รูปหายไปไหนหมด ไม่ได้ถ่ายเลยเหรอ หาไม่เจอ 55555

               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น